วันพุธที่ 19 กรกฎาคม
ได้ฟังเรื่องราวของคนญี่ปุ่นที่เคยอยู่ในด่านซ้ายจากพี่หนิงซึ่งทำงานอยู่ในร้านอาหารตามสั่งข้างบ้านชานภู คนญี่ปุ่นคนนั้นเคยทำร้านอาหารญี่ปุ่นในด่านซ้าย แต่ร้านต้องปิดไปช่วงโควิด ทั้งพี่หนิงและพี่ปูไม่รู้เลยว่าตอนนี้คนญี่ปุ่นไปอยู่ที่ไหน เขาชื่อคือ “อากิระ” ชื่อเดียวกับพ่อของริว ผมกับริวต่างตกใจในความบังเอิญนี้
เบียร์ขับรถสีฟ้ามารับ พวกเรามุ่งหน้าสู่บ้านตาฉลาด ผมถามถึงเรื่องตาฉลาดจากเบียร์ในรถ
“แกอายุเลย 60 ไปแล้ว แต่พลังเยอะมาก เป็นโปรเรื่องเกษตรอินทรีย์ แล้วก็มีเสน่ห์สุดๆ” เบียร์เล่า
เมื่อถึงบ้าน ตาฉลาดออกมาทักทายด้วยใบหน้าเป็นมิตร “รออยู่เลย!!” แล้วรัวต่อไม่หยุด “ไปดูหน่อไม้ก่อนเลยไหม หรือจะผักก่อน หน่อไม้อยู่ไกลหน่อยนะ แต่สวนผักอยู่นี่เอง งั้นผักก่อนเนอะ ไปกัน!!” จนพวกเราแพ้ทางให้กับจังหวะของตาฉลาดไปโดยปริยาย แกเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นหน้าต้นเงาะ “ไม่ต้องเกรงใจนะ กินเลย กินเลย” สรุปว่าผมหยิบเงาะเข้าปากไปกี่ลูกก็ไม่รู้ แถมยังได้หน่อไม้กับข่าเป็นของฝากอีกเพียบ ขอบคุณนะครับ คุณตาฉลาด
ณ จุดชมวิวเมืองด่านซ้าย ผมถามเบียร์ ส้ม และเปรี้ยวถึงเรื่องที่ทั้งสามคนชอบในเมืองนี้ “อยากจะตอบว่าทุกอย่างที่นี่เลย ทั้งอากาศ ผู้คนที่อยู่ที่นี่ แล้วก็วัฒนธรรม” (เบียร์), “ความเงียบสงบ” (ส้ม), “หมูกระทะ หมูกระทะที่ด่านซ้ายอร่อยที่สุด” (เปรี้ยว) ต่างคนต่างความคิด
ส้มกับเบียร์เคยจากด่านซ้ายไปแล้วกลับมา ส่วนริวเคยทำงานในโตเกียว แต่กลับบ้านเกิดเมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่เปรี้ยวกลับมาเพราะอยู่ในช่วงฝึกงาน เธออยากไปเรียนต่อที่ประเทศจีนหลังเรียนจบ นั่นแปลว่าจะไม่ได้กลับมาอยู่ด่านซ้ายอีกพักใหญ่ ลองนึกถึงตัวเอง ผมออกจากบ้านเกิดเมื่อ 15 ปีก่อน ย้ายมาปักหลักที่โตเกียว แล้วก็ยังคงอยู่โตเกียว พูดตามตรง ผมจินตนาการถึงเรื่องกลับบ้านไม่ออก แค่ยังไม่กลับ หรือจะไม่กลับไปแล้ว ที่จริงอยากกลับ หรือไม่อยากกลับกันแน่
ระหว่างที่พวกเรายืนรอพระอาทิตย์ตกบนเนินสูง เบียร์มองฟ้าแล้วพูดออกมา “บ๊ายบายพระอาทิตย์ เจอกันพรุ่งนี้นะ” นั่นสินะ แม้จะมีวันที่หาคำตอบไม่เจอจนหงุดหงิดรำคาญใจ ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองอย่างไร แต่พอได้ยืนนิ่งบนเนินสูง ก็รู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง
“บ๊ายบายพระอาทิตย์ เจอกันพรุ่งนี้นะ”
ผมลองส่งเสียงต่อจากเบียร์เหมือนกัน