top of page

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม

 

   คุณอากิระไม่อยู่ มีเพียงป้ายตรงที่เคยเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นมาก่อน ไร้เงาผู้คน จะว่าไป วันนี้แดดแรงมาก พวกเราเลยแวะพักในตาคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ พี่ตา เจ้าของร้านรู้จักคุณอากิระเป็นอย่างดี เสาศาลเจ้าญี่ปุ่นที่ตาคาเฟ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณอากิระโดยตรง แต่คุณอากิระคงเข้ามาคุยกับพี่ตาเพราะเห็นเสานี้แน่ๆ พวกเราเดินออกไปนอกร้าน ผมกับริวเอ่ยปากว่า ถ้าเบียร์ได้เจอกับคุณอากิระ ช่วยเล่าเรื่องของพวกผมให้เขาฟังด้วยนะ  

   แล้วเบียร์ก็พูดขึ้นว่า “ไม่เคยเจอคุณอากิระเลย เขาอยู่ไทยมานาน ดูเผินๆ คงไม่รู้หรอก โทโมะเองก็เหมือนกันนะ ถ้ามองปราดเดียวก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า” ริวเลยเสริมเล่นขำๆ ว่า “ถ้าเกิดโทโมะในวัย 70 คือคุณอากิระล่ะ!?” ผมไม่ทันคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ถ้าผมจะทำเกษตรที่ไทย ด่านซ้ายช่างเหมาะเจาะ ผมถูกจริตกับดิน น้ำ สายลม และผู้คนที่นี่ พอได้ฟังริวพูดแบบนี้หลังพี่ตาเล่าว่าคุณอากิระเคยทำเกษตรที่ด่านซ้าย ผมเถียงกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง” ไม่ออก

   พวกเรายืนอยู่บนอ่างเก็บน้ำ ที่ผ่านมาผมคงจุ่มเท้าลงแม่น้ำหลายต่อหลายครั้ง ฝ่าเท้าถึงได้รู้สึกถึงสัมผัสที่คุ้นชินนั้น พวกเรารอตากูด ตากูดปรากฏตัวขึ้นในจังหวะที่พวกเราถอดใจแล้วว่าคงไม่มา แต่ตากูดจำพวกเราไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าหลงลืมไป หรือว่าอันที่จริง ตากูดคนที่อยู่เบื้องหน้าอาจมีตัวตนอยู่ในโลกอีกใบ ระหว่างที่ริวถ่ายรูปเขา รุ้งหลังฝนตกแดดออกทอดโค้งเข้าหาตากูด

   ตกเย็น พวกเราไปร่วมงานผีตาโขน ดอยลอบมองพวกเราภายใต้หน้ากากสีเขียว ดอยจะเห็นพวกเราเป็นใครกันนะเมื่อมองผ่านหน้ากาก หากผมกลายเป็นคุณอากิระตอนอายุ 70 คุณอากิระจะต้องจดจำงานผีตาโขนในวันนี้ได้อย่างแน่นอน  

   เมื่อกลับถึงบ้าน ผมหยิบกระดาษโน้ตออกจากกระเป๋ากางเกงชุ่มเหงื่อเพราะเต้นแร้งเต้นกาไม่ยั้ง บนกระดาษโน้ตมีเบอร์โทรศัพท์คุณอากิระที่พี่ตาบอกมา ผมจ้องมองหมายเลขนั้นพลางถามตัวเองในใจ “คุณคนที่อยู่ปลายสายคือใครกัน” คำตอบกลับเป็นภาพผีตาโขนเอียงคอท่าทางซุกซน แต่สุดท้าย ผมก็คงจากด่านซ้ายไปทั้งที่ไม่ได้โทรหาเบอร์นั้นแบบนี้แหละ

bottom of page