top of page

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม

 

   ผมไม่ได้ยกยอเกินจริง แต่ร้านกาแฟของปัสที่เปิดเมื่อ 4 เดือนก่อนคือจุดชมวิวอันงดงามยากจะหาที่เปรียบ ปัสผู้เรียนถ่ายภาพในมหาวิทยาลัยกลายเป็นบาริสต้าเต็มตัว ปัสเล่าเขินๆ ว่า 

           “ชอบถ่ายรูปครับ แต่ยิ่งชอบ ก็ยิ่งคิดว่าน่าจะหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีอื่นดีกว่า เลยตัดสินใจเปิดร้านกาแฟ”

         ลูกค้าเข้ามาเยอะ ผมเลยช่วยรับออเดอร์บ้าง ช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่มบ้าง แล้วก็ลองพูดคุยกับวัยรุ่นสองคนที่สั่งเครื่องดื่ม เห็นว่าพวกเขามาที่นี่บ่อย ทั้งสองคนเป็นชาวด่านซ้าย เป็นรุ่นน้องปัส 1 ปี เคยจากด่านซ้ายไปหลังจบมัธยมปลาย แล้วก็กลับมาที่นี่ ทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนที่กลับมาด่านซ้ายเหมือนกันสินะ ผมถามหาจุดดูผีเสื้อ และได้คำตอบค่อนข้างคลุมเครือ

   “ลองไปแถวหมู่บ้านที่มีไร่นาดูสิ ได้เห็นแน่ๆ”

   พวกเราไปช่วยดอยขายน้ำเต้าหู้ในตลาด กลุ่มเด็กมัธยมปลายที่ได้เจอเมื่อ 3 วันก่อนมาร้านน้ำเต้าหู้ พวกเขาพูดทักทาย “โทโมะซัง ทำไมมาอยู่ที่นี่” พอผมถามว่า “รู้จักดอยด้วยเหรอ แล้ววันนี้ไม่เล่นบาสเหรอ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ขาเจ็บครับ วันนี้เลยงด” หลังจบบทสนทนาสั้นๆ ผมยื่นน้ำเต้าหู้ให้ นักเรียนมัธยมปลายถือน้ำเต้าหู้ไว้ในมือข้างหนึ่ง บอกลา “บ๊ายบาย” แล้วหายลับตาไปในตลาดช่วงค่ำ ผมยืนฝั่งคนขาย มองลูกค้าเข้ามาและจากไป รวมถึงผู้คนที่เดินขวักไขว่ถัดออกไปกลางตลาด   

   ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น บางที ใครบางคนที่อยากเจออาจเดินผ่านมาก็เป็นได้ พอคิดได้แบบนี้ จู่ๆ ผมก็ไม่อยากไปจากที่นี่ พร้อมอธิษฐานให้มีลูกค้าน้ำเต้าหู้เข้ามาไม่ขาดสาย ระหว่างขยับมือทำงานไม่หยุด คำพูดตอนบอกลาปัสย้อนกลับเข้ามาในหัว

   “ต่อจากนี้ ผมอยากให้คนมาที่นี่กันเยอะๆ แล้วก็สนุกสนานในแบบที่ตัวเองต้องการ ผมไม่ได้คิดจะออกไปจากด่านซ้ายเลย” ปัสไม่ได้ยิ้มเขินเหมือนปกติ แต่พูดพร้อมสบตามุ่งมั่น

   ริวพูดขึ้นมาว่า “โทโมะ เคยทำนู่นทำนี่มาเยอะก็จริง แต่เคยทำร้านน้ำเต้าหู้ด้วยเหรอ หรือจะเคยทำในชาติที่แล้ว!?”

   ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเหมือนกันนะ ตอนนี้ผมยืนอยู่ในร้านน้ำเต้าหู้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกไม่นานต้องไปจากด่านซ้ายแล้ว และก่อนจะถึงตอนนั้น ผมต้องจากลาร้านน้ำเต้าหู้ในตอนนี้  

bottom of page