วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม
ฝนตกปรอยๆ ได้เจอกับเบียร์ที่วัดโพนชัยอีกครั้ง หลบหนีอากาศร้อนอ้าวภายในโบสถ์ ออกไปร้านกาแฟใกล้ๆ พวกเรานั่งตรงระเบียง ถามไถ่ถึงความทรงจำในช่วงวัยสิบกว่าๆ ของกันและกัน
ริวเคยใช้เวลาเดินทางเที่ยวละ 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปโรงเรียนสอนถ่ายภาพ เบียร์เคยสังสรรค์กับเพื่อนมหาวิทยาลัยคืนแล้วคืนเล่า (แน่นอนว่าเรื่องเรียนก็สนุกสนานเช่นกัน) ผมเล่าเรื่องที่ตัวเองได้รู้จักประเทศไทย จนรู้สึกเพลิดเพลินกับเรื่องเกษตรกรรมมากกว่าวิชาเอกด้าน IT จู่ๆ ทั้งสองก็นิ่งเงียบ ผมกำลังจดจ่อกับบทสนทนา และไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาของทั้งสองคนรอบข้างถึงหยุดนิ่งไป ริวพึมพำออกมา "นั่น สิ่งนั้น" ผมพยายามค้นหาความหมายของ "สิ่งนั้น" อย่างเอาเป็นเอาตาย ผีตาโขนภายใต้หน้ากากนั่งนิ่งริมตลิ่งตรงระเบียง พวกเขาตะลึงงันกับแขกสวมหน้ากากชวนพิศวงที่ไม่ค่อยปรากฏกาย ทิ้งช่วงเล็กน้อย เบียร์ลองโบกมือทักทายและส่งเสียง
"(ชื่ออะไรเหรอ) ไม่รู้"
"(มาจากไหนเหรอ) มาจากงานเทศกาลในวัด"
เขาตอบกลับด้วยเสียงอ่อนโยน คุยโต้ตอบกันอย่างสนุกสนานสักพัก เมื่อเอ่ยปากลา ผีตาโขนจากไปเงียบงัน พวกเรามุ่งหน้าต่อไปน้ำตกแก่งสองคอน "เคยเห็นผีเสื้อแถวนี้นะ" เป็นไปตามที่เบียร์บอก พวกเราเจอผีเสื้อสีเหลือง ขาว และน้ำตาล แต่ผีเสื้อบินจากไปทันทีเมื่อเห็นมัน พวกเรามองตามติด เพราะหวังใจว่าผีตาโขนจะปรากฏตัวตรงปลายตาที่ผีเสื้อจากหาย แต่ผีตาโขนก็ไม่ได้โผล่ออกมา
ช่วงสุดท้าย ริวใช้กล้องโพลารอยด์ถ่ายรูปให้พวกเรา ผมจ้องมองภาพถ่ายที่ค่อยๆ ปรากฏชัดภายในรถ แล้วหวนนึกถึงความทรงจำที่เกิดขึ้น ตอนเสี่ยงเซียมซีที่วัดโพนชัย ริวกับเบียร์ได้เลขเดียวกันสินะ ช่างภาพทั้งสองคนมีโชคชะตาเหมือนกันเหรอเนี่ย เหมือนฟิล์มโพซิทีฟ กับเนกาทีฟเลย
ตอนที่ขับรถลงมาจากน้ำตกแก่งสองคอนเข้าเมือง ฟ้าก็ปลอดโปร่งสดใสขึ้นมา